สารบัญ
ปฏิทินเศรษฐกิจคืออะไร?
ความสำคัญของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในปฏิทินเศรษฐกิจ
วิธีการใช้ปฏิทินเศรษฐกิจในการเทรด
สรุป
ปฏิทินเศรษฐกิจคืออะไร?
ปฏิทินเศรษฐกิจไม่ใช่สิ่งลึกลับอีกต่อไปแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักเศรษฐศาสตร์หรือเทรดเดอร์มืออาชีพก็สามารถใช้งานได้ ปัจจุบันปฏิทินนี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ตลาด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมันไม่ได้เป็นแค่เพียงเครื่องมือเท่านั้น แต่ยังเป็นชุดของสัญญาณและอินดิเคเตอร์ที่สามารถบอกอะไรได้มากมายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกและสามารถทำนายปฏิกิริยาของตลาดต่อการประกาศเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ได้ด้วย หากเราแบ่งการประกาศเหตุการณ์ในปฏิทินออกเป็นประเภทต่าง ๆ (ตามที่เราจะอธิบายด้านล่างนี้) เราจะเห็นถึงปฏิกิริยาและความผันผวนของตลาดได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ความสำคัญของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในปฏิทินเศรษฐกิจ
ปฏิทินเศรษฐกิจถือเป็นเครื่องมือที่แสดงข่าวสาร ข้อมูลสถิติ และเหตุการณ์สำคัญ ๆ ทั้งหมดในเศรษฐกิจของประเทศชั้นนำของโลก สถิติที่สำคัญที่สุดจะเป็นของประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกเนื่องจากเป็นผู้ผลิตข่าวจริง ๆ ในกลุ่มเศรษฐกิจเหล่านี้ประกอบด้วยประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา เป็นต้น ข้อมูลทั้งหมดในปฏิทินเศรษฐกิจมีความสำคัญและอิทธิพลต่อการตลาดที่แตกต่างกัน ระดับความสำคัญสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
- อิทธิพลเล็กน้อย
ข่าวหรือสถิติจากหมวดนี้แทบไม่มีอิทธิพลต่อตลาดหลังจากประกาศออกไป อย่างไรก็ตาม หากตลาดไม่ได้คาดหวังข่าวสำคัญใด ๆ การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยจากข่าวนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน - อิทธิพลปานกลาง
ในบางสถานการณ์ ข่าวดังกล่าวอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงิน อย่างไรก็ตามอาจไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ หากมีเหตุการณ์สำคัญอื่น ๆ อยู่ในอนาคตอันใกล้ ทั้งนี้ข่าวที่มีอิทธิพลปานกลางหลาย ๆ ข่าวที่เผยแพร่พร้อมกัน อาจถือว่ามีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดคู่สกุลเงินได้ - อิทธิพลสูง
ข่าวในหมวดหมู่นี้ ถึงแม้จะเผยแพร่ทีละข่าวก็ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงิน และบางครั้งอาจเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของเครื่องมือทางการเงินบางอย่างได้ หมวดหมู่นี้ประกอบไปด้วยเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจสำคัญ ๆ เช่น การประชุมของธนาคารกลางและการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย คำปราศรัยของหัวหน้าธนาคารกลาง (Fed) สถิติเกี่ยวกับ GDP ที่สำคัญของโลก ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls) ซึ่งเป็นจำนวนงานใหม่ในภาคเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ภาคเกษตรของสหรัฐอเมริกา และข่าวอื่น ๆ ที่คล้ายกัน
โดยปกติแล้ว นักเทรดจะให้ความสนใจมากที่สุดกับข่าวที่มีอิทธิพลสูง พวกเขาหวังว่าหลังจากการเผยแพร่ข่าวดังกล่าว จะมีความผันผวนในตลาดที่สำคัญและพวกเขาจะสามารถ "เก็บเกี่ยวผลประโยชน์" ได้ ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls หรือ NFP) ซึ่งจะถูกเผยแพร่ในวันศุกร์แรกของแต่ละเดือน วันนี้มักถูกเรียกว่า "วันจ่ายเงินของนักเทรด" เพราะถ้าตัวเลขที่เผยแพร่แตกต่างอย่างมากจากการคาดการณ์หรือข้อมูลก่อนหน้านี้ จะเกิดการเคลื่อนไหวที่แรงและรวดเร็ว ซึ่งผู้เล่นในตลาดพยายามคาดการณ์และ "จับ" โอกาสนี้ไว้
วิธีการใช้ปฏิทินเศรษฐกิจในการเทรด
เราสามารถใช้ปฏิทินเศรษฐกิจในการเทรดได้หลากหลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น นักเทรดศึกษาปฏิทินก่อนเริ่มวันและปิดตำแหน่ง (Close position) ก่อนการประกาศข่าวที่มีอิทธิพลปานกลางและสูง โดยปกติแล้วนักเทรดส่วนใหญ่จะไม่เปิดตำแหน่งใหม่ (Open position) จนกว่าตลาดจะมีการตอบสนองต่อข่าว เหตุผลหลัก ๆ เนื่องจากมีความผันผวนสูงของตลาดทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิด ทั้งขาลงและขาขึ้น รวมถึงช่องว่างของราคา (Price gaps) และการตอบสนองของตลาดมักจะใช้เวลาประมาณ 2 ถึง 3 ชั่วโมง การคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ถือเป็นการดีต่อจิตใจและการเงินของนักเทรด โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นในตลาด
อีกหนึ่งวิธีในการใช้ปฏิทินเศรษฐกิจคือการเทรดตามข่าว ซึ่งวิธีนี้ต้องใช้การวิเคราะห์จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของการตอบสนองของตลาดต่อข่าวบางประเภท ในตอนแรกอาจดูทั้งน่าเบื่อ ทั้งยากและใช้เวลานาน แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น สิ่งที่นักเทรดควรสังเกตคือสถิติก่อนข่าวและวิธีที่ตลาดหรือราคาตอบสนองต่อการประกาศข่าวนั้น ๆ นอกจากนี้ควรศึกษาสถิติของการคาดการณ์ล่วงหน้าและนำมาพิจารณา ซึ่งข้อมูลนี้มักจะมีอยู่ในปฏิทินเสมอ ในบางครั้งนักวิเคราะห์ตลาดอาจคาดการณ์ผิดพลาด และตัวเลขที่ประกาศออกมาก็ต่างจากที่คาดการณ์ไว้อย่างมาก ในกรณีนี้การตอบสนองของตลาดจะรุนแรงและมีอิทธิพลสูง เราอาจต้องพิจารณาปฏิทินเศรษฐกิจในมุมมองที่กว้างขึ้น ข้อมูลจริงของข่าวสำคัญบางข่าวอาจซ่อนอยู่ในสถิติทางอ้อมที่เผยแพร่ก่อนหน้านี้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจแทบไม่มีอิทธิพลต่อตลาดเลย อย่างไรก็ตามการประกาศดังกล่าวก็อาจเป็นคำบอกใบ้สำหรับนักเทรดด้วย โดยสรุปแล้วกระบวนการที่กล่าวถึงนี้ก็ถือว่าเป็นการวิเคราะห์ขั้นพื้นฐานเช่นกัน
สรุป
การใช้ปฏิทินเศรษฐกิจสามารถช่วยให้นักเทรดพัฒนาการเทรดของตนได้อย่างมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้คือ บางครั้งตลาดอาจมีพฤติกรรมที่ไม่คาดคิด มีสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเหตุสุดวิสัยในตลาดมากมาย ซึ่งอาจทำให้นักเทรดต้องปรับกลยุทธ์ของตนตลอดเวลา