Currency Exchange คืออะไร? บทนำสู่ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

สารบัญ

Currency Exchange คืออะไร?

ลักษณะของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

  • ความพร้อมใช้งาน
  • เลเวอเรจ (Leverage)
  • ความผันผวนสูง
  • ดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมง
  • ความโปร่งใส
  • สภาพคล่องสูง
  • ความรวดเร็วในการทำธุรกรรม

ผู้เล่นในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

ประเภทของตราสารในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา

  • คู่สกุลเงินหลัก (Major currency pairs)
  • อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงิน (Cross rates)
  • อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินของประเทศที่มีศักยภาพสูง (Cross rates of currencies with high potential)
  • โลหะมีค่า (Precious metals)
  • หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ (Stocks of large companies)
  • สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)
  • ฟิวเจอร์ส
  • ออปชัน (Options)

โดยสรุป

Currency Exchange คืออะไร?

ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (หรือที่เรียกกันว่า Foreign Exchange) เป็นตลาดระหว่างประเทศที่มีไว้สำหรับบริษัทโบรกเกอร์ ธนาคาร และกองทุนการลงทุนที่ทำการซื้อขายสกุลเงิน ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเริ่มต้นขึ้นในทศวรรษ 1970 เมื่อโลกการเงินเปลี่ยนจากมาตรฐานทองคำไปสู่การกำหนดราคาสกุลเงินแบบเสรี ตลาดนี้ดำเนินงานบนพื้นฐานของการแปลงสกุลเงินอย่างเสรีโดยไม่มีการแทรกแซงจากรัฐและรับประกันเสรีภาพในการทำธุรกรรมดังกล่าว ในขณะเดียวกันก็มีข้อกำหนดและข้อจำกัดหลายประการที่ควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างเทรดเดอร์และโบรกเกอร์

บางครั้งอาจมีคนเรียกว่าการแลกเปลี่ยนเงินตราเป็น "การแลกเปลี่ยนทางการเงิน" อย่างไรก็ตาม นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นตลาดระหว่างประเทศที่ไม่ใช่ตลาดหลักทรัพย์และไม่มีสถานที่เฉพาะสำหรับการซื้อขาย ผู้คนสามารถทำการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ตหรือใช้โทรศัพท์ได้ ผู้เล่นในตลาดสามารถทำธุรกรรมสกุลเงินจากที่ใดก็ได้บนโลกนี้ เนื่องจากการแลกเปลี่ยนสกุลเงินเป็นตลาดที่ไม่ใช่ตลาดหลักทรัพย์ การทำธุรกรรมจึงอาจไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน

แม้ว่าผู้เล่นในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสถานที่ซื้อขาย แต่พวกเขายังคงต้องดำเนินการโดยขึ้นอยู่กับชั่วโมงการซื้อขายที่แตกต่างกันไปในแต่ละส่วนของโลก ได้แก่ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในยุโรป และในอเมริกาเหนือ

ตั้งแต่ปี 1989 ธนาคารเพื่อการชำระบัญชีระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements หรือ BIS) ได้ทำการวิเคราะห์ตลาดอย่างละเอียดทุก 3 ปี จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่ามูลค่าการซื้อขายรายวันของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2000 และเพิ่มขึ้นเป็น 4.0 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในอีก 10 ปีต่อมา ผู้เชี่ยวชาญของ BIS คาดการณ์ว่ามูลค่าการซื้อขายรายวันของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราจะเติบโตถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2020 ส่วนหนึ่งของปริมาณการซื้อขายนี้มาจากการซื้อขายมาร์จิน ซึ่งหมายถึงการทำสัญญาสำหรับจำนวนเงินที่มากกว่าทุนจริงของผู้ทำธุรกรรมอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าลักษณะและวัตถุประสงค์ของธุรกรรมจะเป็นอย่างไร มูลค่าการซื้อขายรายวันที่สูงย่อมรับประกันสภาพคล่องที่สูงของตลาด อีกทั้งข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งคือ ประมาณ 75% ของธุรกรรมในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราดำเนินการโดยธนาคารอเมริกัน

ลักษณะของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นหนึ่งในประเภทของตลาดการเงินที่มีจำนวนผู้เข้าร่วมมากที่สุดในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุด ตลาดนี้ดึงดูดนักเทรดและนักลงทุนโดยเสนอโอกาสในการทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน หรือเพียงแค่แลกเปลี่ยนสกุลเงินหนึ่งเป็นอีกสกุลเงินหนึ่ง ทุกคนที่ทำการแลกเปลี่ยนผ่านแอปพลิเคชันธนาคารบนมือถือจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างที่เชื่อมโยงผู้เข้าร่วมผ่านระบบข้อมูลต่าง ๆ และให้พวกเขาสามารถเข้าถึงการดำเนินงานแลกเปลี่ยนเงินตราได้ตลอด 24 ชั่วโมงตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์

ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรามีข้อดีหลายประการที่ทำให้แตกต่างจากตลาดประเภทอื่น ๆ ดังนี้:

  • ความพร้อมใช้งาน

เพื่อที่จะเป็นผู้เล่นในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราและมีโอกาสทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน ผู้สนใจต้องเปิดบัญชีซื้อขายกับบริษัทโบรกเกอร์ที่ให้บริการดังกล่าว จากนั้นเพียงแค่เติมเงินเข้าบัญชีและเริ่มทำการซื้อขาย สิ่งที่ควรจดจำคือการซื้อขายที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยประสบการณ์และความรู้บางประการเกี่ยวกับการวิเคราะห์กราฟ อย่างไรก็ตามเกือบทุกคนสามารถรวมเข้ากับชุมชนเทรดเดอร์ได้อย่างง่ายดาย

  • เลเวอเรจ (Leverage)

เมื่อซื้อหรือขายสกุลเงิน นักเทรดไม่จำเป็นต้องมีเงินฝากที่ครอบคลุมมูลค่าของสัญญาทั้งหมดไว้ในบัญชี การใช้เลเวอเรจจะช่วยเสริมศักยภาพทางการเงินของผู้เทรด เนื่องจากจะทำให้สามารถทำธุรกรรมได้ในปริมาณที่ใหญ่กว่าเงินทุนที่ผู้เทรดมีอยู่ ในอีกแง่หนึ่ง นี่ถือเป็นโอกาสที่จะได้รับผลกำไรจำนวนมากด้วยจำนวนเงินเพียงเล็กน้อยในบัญชี แต่ทางกลับกันความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นจึงต้องศึกษาและควบคุมความเสี่ยงอย่างถี่ถ้วน

  • ความผันผวนสูง

คำว่า "ความผันผวน" หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในราคาของตราสารทางการเงินใด ๆ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นตลาดที่มีความผันผวนสูง อัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ และเทรดเดอร์มีเป้าหมายในการทำกำไรจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนนี้ ดังนั้นยิ่งมีการเปลี่ยนแปลงมาก เทรดเดอร์ก็จะได้กำไรมากขึ้น โดยไม่ว่าสกุลเงินจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงในราคาก็ตาม ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของตลาดนี้ ความจริงก็คือ เทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้จากการขึ้นและการลงของของสกุลเงินอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้นความผันผวนสูงร่วมกับการใช้เลเวอเรจจัดให้เป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการสร้างรายได้ อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย

  • ดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมง

ตลาดนี้เปิดให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ตลอด 24 ชั่วโมง มีผู้ขายและผู้ซื้ออยู่ในตลาดอยู่เสมอ คุณสามารถใช้ช่วงเวลาเซสชันอเมริกันที่มีความผันผวนอย่างมาก หรือช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเล็กน้อยอย่างเซสชันเอเชีย การวิเคราะห์ตลาดสามารถทำได้ในช่วงเช้าและเย็น สามารถเปิดตำแหน่งได้ตลอดเวลาเพื่อทำกำไรจากความผันผวนของสกุลเงิน นี่เป็นข้อได้เปรียบอย่างมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นที่อนุญาตให้มีการซื้อขายเฉพาะในช่วงเวลาการซื้อขายเท่านั้น

  • ความโปร่งใส

ผู้เล่นในตลาดสามารถรับข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับตลาดได้จากแหล่งข้อมูลใดก็ได้ ข่าวสำคัญที่มีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนจะประกาศในวันที่และเวลาที่ทราบล่วงหน้า ตลาดจะมีปฏิกิริยา และเทรดเดอร์จะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของตลาดนี้ กล่าวคือก่อนการประกาศข่าวที่สำคัญบางประการ (เช่น อัตราการว่างงานของสหรัฐ) ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมาและตลาดจะตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่คาดหวังอย่างไร ซึ่งก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น ทุกคนในตลาดใช้ชุดข้อมูลที่เท่ากัน

  • สภาพคล่องสูง

สินค้าของตลาดแลกเปลี่ยนคือเงิน ถือเป็นสินค้าที่มีสภาพคล่องสูง ซึ่งหมายความว่าสามารถแลกเปลี่ยนสกุลเงินหนึ่งเป็นอีกสกุลเงินหนึ่งได้อย่างง่ายดายทุกเวลา สภาพคล่องต่ำเป็นเรื่องปกติของอสังหาริมทรัพย์ กล่าวคืออพาร์ทเมนต์สามารถขายได้อย่างรวดเร็วเฉพาะในกรณีที่ผู้ขายต้องการราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดอย่างมาก ในกรณีของตลาดนี้ เทรดเดอร์สามารถเปิดสถานะในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินด้วยอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันและปิดได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากตลาดแลกเปลี่ยนมีขนาดใหญ่มากจนสามารถค้นหาผู้ซื้อหรือผู้ขายได้ตลอดเวลา

  • ความรวดเร็วในการทำธุรกรรม

เมื่อต้องการเปิดตำแหน่งและซื้อหรือขายสกุลเงินที่ต้องการ เพียงกดปุ่ม "Order" ที่เทอร์มินัลก็เพียงพอแล้ว ในกรณีที่ต้องการปิดตำแหน่ง (เช่น เพื่อล็อคกำไร) เพียงแค่กดปุ่ม "Close order" ที่ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น

ดังนั้น ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราจึงค่อนข้างแตกต่างออกไปจากตลาดอื่น ๆ โดยมีการเข้าถึงการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วและดำเนินการได้จากทุกที่บนโลกได้ตลอดเวลา

เทรดเดอร์ที่ใช้เลเวอเรจสามารถทำธุรกรรมในปริมาณที่มีขนาดมากกว่าเงินทุนในบัญชีของพวกเขาได้มากขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นอีกหนึ่งโอกาสในการทำกำไร สภาพคล่องสูงช่วยให้สามารถเปิดและปิดตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วทุกเวลา

ผู้เล่นในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นตลาดระหว่างธนาคารระหว่างประเทศ กล่าวอีกนัยหนึ่งแพลตฟอร์มไม่มีอยู่จริงในรูปแบบทางกายภาพ การทำธุรกรรมทั้งหมดเกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ต ปัจจุบันผู้เล่นหลักในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราคือ ธนาคารกลางแห่งชาติของประเทศต่าง ๆ

ผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราคือธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ เช่น ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank) และระบบธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve System หรือ Fed) ธนาคารกลางของประเทศอื่น ๆ ก็มีผลกระทบต่อความผันผวนของสกุลเงินด้วย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันการกระโดดขึ้นของราคาอย่างรุนแรง

ธนาคารพาณิชย์ (Commercial banks) ก็มีการเข้าร่วมในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราด้วย แต่แทบจะไม่สามารถมีอิทธิพลต่อนโยบายการเงินและสินเชื่อของผู้เล่นรายใหญ่ได้ อย่างไรก็ตามธนาคารเหล่านี้ ช่วยเพิ่มสภาพคล่องของตลาดได้อย่างมาก ธนาคารพาณิชย์มีอิทธิพลในการเก็งกำไร โดยควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องเพื่อทำกำไรและทำธุรกรรมจำนวนมาก ธนาคารพาณิชย์ทำกำไรจากสเปรดซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างอัตราการซื้อและการขาย

นอกจากธนาคารแล้ว ผู้เล่นในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรามีอีกกลุ่มสำคัญคือ โบรกเกอร์ บริษัทโบรกเกอร์ และบริการซื้อขาย (Brokers, broker companies, and dealing services) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในต่อการสร้างราคาสกุลเงินในฐานะตัวแทน นอกจากนี้พวกเขายังให้การเข้าถึงสู่ตลาดระหว่างธนาคารแก่เทรดเดอร์และนักลงทุนรายย่อย การซื้อขายผ่านบริษัทโบรกเกอร์และบริษัทบริการซื้อขาย ทำให้บุคคลทั่วไปมีส่วนสำคัญในการทำธุรกรรมในตลาดด้วย

ผู้เล่นแลกเปลี่ยนสกุลเงินอีกกลุ่มหนึ่งคือ กองทุน (Funds)ไม่ว่าจะเป็น ประกันภัย เงินบำนาญ และกองทุนป้องกันความเสี่ยง กลุ่มนี้ทำธุรกรรมที่ใหญ่ที่สุดบนตลาดซึ่งบางครั้งอาจจะเป็นธุรกรรมที่มีลักษณะค่อนข้างก้าวร้าวในตลาด เป้าหมายของพวกเขาไม่มีอะไรนอกจากการทำกำไรจากความแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยน

ผู้เล่นในตลาดกลุ่มถัดไปประกอบด้วย บริษัทผู้นำเข้าและส่งออก (Importer and exporter companies)โดยปกติแล้วพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงตลาดได้โดยตรง แต่สามารถทำธุรกรรมผ่านธนาคารพาณิชย์ กลุ่มนี้ไม่มีจุดมุ่งหมายที่จะเก็งกำไรในการแลกเปลี่ยนสกุลเงิน แต่พวกเขาซื้อและขายสกุลเงินที่จำเป็นสำหรับธุรกิจหลักของพวกเขา

ประเภทของตราสารในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา

โดยปกติแล้วตราสารที่ใช้ซื้อขายหมายถึงสินทรัพย์ทางการเงินที่สามารถซื้อขายเพื่อทำกำไรได้

ในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรามีตราสารที่หลากหลาย รวมถึงคู่เงินหลักและอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงิน (Cross rates) โดยสามารถแบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้

  • คู่สกุลเงินหลัก (Major currency pairs)

กลุ่มแรกประกอบด้วยคู่สกุลเงินหลัก เช่น EUR/USD, GBP/USD และอื่น ๆ ในกลุ่มเหล่านี้ สกุลเงินอื่น ๆ จะถูกซื้อขายเทียบต่อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ซึ่งทำให้มีสภาพคล่องและความผันผวนที่ดีสำหรับคู่สกุลเงินใด ๆ การซื้อขายที่รวมถึง USD ประกอบด้วยประมาณ 85% ของการทำธุรกรรมทั้งหมดในตลาด การซื้อขายจำนวนมากทำให้มีการเคลื่อนไหวของราคามากขึ้น คู่เงินหลักได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ผู้เล่น เนื่องจากช่วยในการวิเคราะห์และทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา

  • อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงิน (Cross rates)

ตราสารกลุ่มที่สองประกอบด้วยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงิน (Cross Rates) หรือจะเรียกว่า คู่สกุลเงินรอง (Minor currency pairs) เช่น EUR/JPY, GBP/JPY, EUR/GBP, EUR/CHF เป็นต้น สินทรัพย์เหล่านี้อำนวยความสะดวกในการซื้อขายสกุลเงินของ 7 ประเทศชั้นนำของโลกโดยไม่ต้องผ่านสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) คู่สกุลเงินเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการชำระเงินโดยตรงระหว่างประเทศและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน คู่สกุลเงินในกลุ่มนี้มีความผันผวนและสภาพคล่องที่ดี รวมถึงมีสเปรดที่ยอมรับได้ จึงดึงดูดเทรดเดอร์จำนวนมาก

  • อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินของประเทศที่มีศักยภาพสูง (Cross rates of currencies with high potential)

อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินของประเทศที่มีศักยภาพในการพัฒนาเพิ่มเติมจะประกอบเป็นกลุ่มตราสารที่แยกต่างหาก ตัวอย่างเช่น CAD/JPY (ดอลลาร์แคนาดาเทียบกับเยนญี่ปุ่น) คู่เงินในกลุ่มนี้มีลักษณะเฉพาะที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้อย่างมั่นคง

  • โลหะมีค่า (Precious metals)

กลุ่มที่สี่ประกอบด้วยโลหะมีค่า โดยโลหะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการซื้อขายผ่านสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) ได้แก่ ทองคำและเงิน โลหะมีค่าเป็นที่นิยมมากในหมู่ผู้เล่นหลักในตลาด เนื่องจากพวกเขาใช้โลหะเหล่านี้เพื่อป้องกันความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงการขาดทุน ในช่วงวิกฤติ ตราสารเหล่านี้ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ พวกเขาถูกเรียกว่า "Save haven" หรือสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง และราคามักจะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอน

  • หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ (Stocks of large companies)

กลุ่มที่ห้าประกอบด้วยหุ้นของบริษัทใหญ่ทั่วโลกหลากหลายประเภท เมื่อซื้อสินทรัพย์พื้นฐาน เทรดเดอร์จะไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นจริง ๆ แต่พวกเขาตกลงที่จะได้รับส่วนต่างของราคา การซื้อขายประเภทนี้สามารถทำได้ด้วยสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (Contract for Difference หรือ CFD) ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุนตรงที่เทรดเดอร์สามารถทำกำไรจากการเติบโตของราคาสินทรัพย์และขาลงได้ โดยปกติสินทรัพย์สาธารณะของบริษัทขนาดใหญ่จะมีความ "โปร่งใส" ทำให้การเปลี่ยนแปลงของราคาง่ายต่อการคาดการณ์ จึงได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่เทรดเดอร์

  • สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)

กลุ่มที่หกประกอบด้วยสินค้าโภคภัณฑ์ โดยแก๊สและน้ำมันเป็นตราสารที่ได้รับความนิยมมากที่สุด อิทธิพลของไฮโดรคาร์บอนต่อเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความสนใจในตราสารเหล่านี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

  • ฟิวเจอร์ส

กลุ่มที่เจ็ดประกอบด้วยฟิวเจอร์ส ฟิวเจอร์สขึ้นอยู่กับสัญญาระหว่างคู่สกุลเงินอย่างมาก ซึ่งเห็นได้ชัดเจนที่สุดในประเทศผู้ผลิตหลักที่อุปสงค์และอุปทานถูกกำหนดโดยการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลและสภาพตลาดในปัจจุบัน

  • ออปชัน (Options)

กลุ่มที่เก้าประกอบด้วยออปชัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การซื้อสินทรัพย์ (ในความเป็นจริงคือสิทธิ์ในสินทรัพย์แทนที่จะเป็นสินทรัพย์ทางกายภาพ) ในราคาที่กำหนดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ตามที่ระบุในสัญญา) ได้รับความนิยมอย่างมาก ปัจจุบันไบนารีออปชัน (Binary options) ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ เนื่องจากทำให้เทรดเดอร์สามารถรู้ผลกำไรและขาดทุนล่วงหน้าได้

โดยสรุป

แน่นอนว่านักเทรดต้องเลือกตราสารที่ตนจะทำการซื้อขายในที่สุด นี่เป็นขั้นตอนสำคัญในการกำหนดอนาคตของเทรดเดอร์ในตลาดอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังควรคำนึงถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความไม่มั่นคงทางการเมือง หรือวิกฤติการเงินและเศรษฐกิจใหญ่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ผลที่ตามมาของเหตุการณ์เหล่านี้อาจทำให้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงในระยะยาวของสินทรัพย์ส่วนใหญ่ เพื่อให้สามารถทำธุรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ดังกล่าว เทรดเดอร์ต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการเทรดอย่างมาก การศึกษาวิธีการพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเป็นประโยชน์อย่างมาก แต่ประเด็นสำคัญเพื่อการเทรดที่ประสบความสำเร็จและมั่นคงในระยะยาวคือการพัฒนาทักษะและความรู้ของตนอย่างต่อเนื่อง

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น