สวัสดีครับทุกท่าน มาพบกับบทวิเคราะห์คู่สกุลเงิน EUR/USD GBP/USD และ XAU/USD ประจำสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน ในระหว่างวันที่ 4 - 8 พฤศจิกายน 2567
EUR/USD “ยูโร เทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ”
การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน
เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อ EUR/USD ในสัปดาห์นี้
ข้อมูลเศรษฐกิจยุโรป
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ภาคการผลิตของเยอรมนี (German Manufacturing PMI) (4 พฤศจิกายน) : ดัชนีนี้เป็นตัวชี้วัดสำคัญของภาวะเศรษฐกิจในเยอรมนี ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป หากดัชนีออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ จะส่งผลบวกต่อค่าเงินยูโร เนื่องจากสะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่หากต่ำกว่าคาด ค่าเงินยูโรอาจเผชิญแรงกดดันให้อ่อนตัว
- ยอดค้าปลีกของยูโรโซน (Eurozone Retail Sales) (5 พฤศจิกายน) : ยอดค้าปลีกสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคในยูโรโซน หากยอดค้าปลีกสูงกว่าที่คาดการณ์ จะส่งผลดีต่อค่าเงินยูโรเนื่องจากแสดงถึงการบริโภคที่เพิ่มขึ้น แต่หากต่ำกว่าคาด ค่าเงินยูโรอาจอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ภาคบริการของเยอรมนี (German Services PMI) (6 พฤศจิกายน) : หากดัชนี PMI ภาคบริการของเยอรมนีออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ จะสร้างความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจยูโรโซนและส่งเสริมค่าเงินยูโร แต่หากตัวเลขต่ำกว่าคาด ค่าเงินยูโรอาจเผชิญแรงกดดันเชิงลบ
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ภาคบริการของยูโรโซน (Eurozone Services PMI) (6 พฤศจิกายน) : ดัชนีนี้วัดการเติบโตของภาคบริการในยูโรโซนและมีบทบาทสำคัญต่อการประเมินเศรษฐกิจ หากออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ ค่าเงินยูโรมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่หากตัวเลขต่ำกว่าคาด ค่าเงินยูโรอาจอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
- การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB Meeting) (7 พฤศจิกายน) : หาก ECB ส่งสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดเงินเฟ้อ ค่าเงินยูโรมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่หากธนาคารกลางยังคงมุ่งเน้นการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ค่าเงินยูโรอาจอ่อนตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
- คำขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) (7 พฤศจิกายน) : หากตัวเลขการว่างงานในสหรัฐออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ ค่าเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกให้กับค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่หากตัวเลขดีกว่าที่คาด ดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นและอาจกดดันให้ค่าเงินยูโรอ่อนตัว
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan Consumer Sentiment Index) (8 พฤศจิกายน) : ดัชนีนี้สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ หากดัชนีสูงกว่าคาดการณ์ ค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นเนื่องจากความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินยูโรอาจอ่อนลง แต่หากดัชนีต่ำกว่าคาด ค่าเงินยูโรอาจได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
ราคามีการเด้งขึ้นไปทดสอบ Order Block ในกรอบเวลา Week แต่มีการปฎิเสธราคาลงมา และได้ปรับตัวลงมาอีกครั้ง คาดว่ามีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงต่อไปจนถึงแนวรับที่ระดับ 1.07770 เพื่อทดสอบโซนนี้อีกครั้ง ซึ่งเป็นโอกาสที่สามารถเข้า Sell เพื่อทำกำไรสั้น ๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังว่าหากราคาลงมาถึงแนวรับแล้วอาจมีการเด้งกลับ หากเห็นสัญญาณ Buy ที่ชัดเจนในโซนแนวรับนี้ ก็สามารถพิจารณาเข้าออเดอร์ Buy ได้เช่นกัน
GBP/USD “ปอนด์อังกฤษ เทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ”
การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน
เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อ GBP/USD ในสัปดาห์นี้
ข้อมูลเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ภาคการผลิตของสหราชอาณาจักร (UK Manufacturing PMI) (4 พฤศจิกายน) : ตัวเลขนี้สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรในภาคการผลิต หากดัชนีออกมาดีกว่าคาดการณ์ ค่าเงินปอนด์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่หากต่ำกว่าคาด ค่าเงินปอนด์อาจอ่อนตัวลง
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากสถาบัน GfK (UK GfK Consumer Confidence) (5 พฤศจิกายน) : ตัวชี้วัดนี้สะท้อนถึงระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักร หากดัชนีสูงกว่าที่คาดการณ์ จะเป็นสัญญาณบวกต่อค่าเงินปอนด์เนื่องจากแสดงถึงการบริโภคที่เพิ่มขึ้น แต่หากความเชื่อมั่นลดลง ค่าเงินปอนด์อาจเผชิญแรงกดดันให้อ่อนตัว
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ภาคบริการของสหราชอาณาจักร (UK Services PMI) (6 พฤศจิกายน) : ภาคบริการเป็นภาคเศรษฐกิจหลักของสหราชอาณาจักร หากดัชนี PMI ของภาคบริการออกมาสูงกว่าคาดการณ์ ค่าเงินปอนด์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่หากต่ำกว่าคาด ค่าเงินปอนด์อาจอ่อนค่าลง
- การประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE Meeting) (7 พฤศจิกายน) : การประชุมครั้งนี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางค่าเงินปอนด์ หากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินปอนด์อาจได้รับแรงหนุนให้แข็งค่าขึ้น แต่หากยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ค่าเงินปอนด์อาจอ่อนค่าลง
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ภาคบริการของสหรัฐ (US Services PMI) (6 พฤศจิกายน) : ดัชนีนี้เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจในภาคบริการของสหรัฐ หากตัวเลขออกมาดีกว่าคาดการณ์ ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจกดดันให้ค่าเงินปอนด์อ่อนลง แต่หากตัวเลขต่ำกว่าคาด ค่าเงินปอนด์อาจได้รับแรงหนุน
- คำขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) (7 พฤศจิกายน) : ตัวเลขนี้แสดงถึงสภาวะตลาดแรงงานในสหรัฐ หากจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานออกมาสูงกว่าคาดการณ์ ค่าเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น แต่หากตัวเลขต่ำกว่าคาด ค่าเงินปอนด์อาจเผชิญแรงกดดัน
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan Consumer Sentiment Index) (8 พฤศจิกายน) : ดัชนีนี้สะท้อนระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ หากดัชนีออกมาสูงกว่าคาดการณ์ ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจกดดันค่าเงินปอนด์ให้ลดลง แต่หากตัวเลขต่ำกว่าคาด ค่าเงินปอนด์อาจได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
ราคายังคงเคลื่อนไหวตามแผนเดิมจากสัปดาห์ที่แล้ว โดยมีแนวโน้มปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง การเข้า Sell ยังเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ โดยตั้งเป้าหมายให้ราคาลงไปทดสอบแนวรับที่ระดับ 1.28000
อย่างไรก็ตาม ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากในกรอบเวลาเล็ก ๆ อาจมีแนวรับย่อยที่ทำให้ราคามีโอกาสดีดกลับได้ จึงควรติดตามสัญญาณอย่างใกล้ชิดและปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์
XAU/USD “ทองคำ เทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ”
การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน
เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อ XAU/USD ในสัปดาห์นี้
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อทองคำ
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ภาคการผลิตของสหรัฐ (US Manufacturing PMI) (4 พฤศจิกายน) : ดัชนีนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ หากตัวเลขออกมาดีกว่าคาด อาจกดดันราคาทองคำให้ลดลง เนื่องจากนักลงทุนจะหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากตัวเลขต่ำกว่าคาด อาจหนุนราคาทองคำ เนื่องจากนักลงทุนจะหันมาถือสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น
- ยอดค้าปลีกของยูโรโซน (Eurozone Retail Sales) (5 พฤศจิกายน) : ยอดค้าปลีกเป็นตัวบ่งชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในยูโรโซน หากยอดค้าปลีกลดลง ค่าเงินยูโรอาจอ่อนค่าลง ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและกดดันราคาทองคำ
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ภาคบริการของสหรัฐ (US Services PMI) (6 พฤศจิกายน) : หากตัวเลข PMI ภาคบริการของสหรัฐสูงกว่าคาด จะสนับสนุนค่าเงินดอลลาร์ และอาจกดดันราคาทองคำให้ลดลง แต่หากตัวเลขต่ำกว่าคาด ราคาทองคำอาจได้รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการหันมาถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย
- คำขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) (7 พฤศจิกายน) : หากตัวเลขสูงกว่าคาดการณ์ จะสะท้อนถึงสภาวะที่ไม่ดีของตลาดแรงงานสหรัฐ ซึ่งจะหนุนราคาทองคำจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ในทางกลับกัน หากตัวเลขต่ำกว่าคาด อาจกดดันราคาทองคำจากสภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้น
- การประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE Meeting) (7 พฤศจิกายน) : หาก BoE ส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และทำให้ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan Consumer Sentiment Index) (8 พฤศจิกายน) : หากความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐสูงกว่าคาด ค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นและกดดันราคาทองคำ แต่หากความเชื่อมั่นลดลง ราคาทองคำอาจได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนหันมาถือครองสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
ราคาทองที่ปิดลบในวันศุกร์ที่ผ่านมา แม้ตัวเลข Non-Farm จะต่ำกว่าคาดอย่างมาก แต่ดอลลาร์ยังแข็งค่าขึ้นได้อย่างน่าประหลาดใจ จึงมีโอกาสที่ราคาจะทดสอบแนวรับที่บริเวณ 2722-2700 ซึ่งเป็นโซนที่อาจตั้งรับ Buy ได้เช่นกัน
ภาพรวมยังไม่มีสัญญาณการลงอย่างชัดเจน ดังนั้นแนะนำใช้กลยุทธ์ Buy on dip คือหากราคาย่อมาให้เข้า Buy หรือตั้งรับตามแนวรับในกรอบ TF เล็ก เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร อย่างไรก็ตาม ควรระวังหากราคาทองมีการปรับลงแรงที่อาจกวาด SL
Disclaimer: บทความนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์จากโค้ชของสถาบัน RoboAcademy ไม่ได้เป็นการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด และการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน