สวัสดีครับทุกท่าน มาพบกับบทวิเคราะห์คู่สกุลเงิน EUR/USD GBP/USD และ XAU/USD ประจำสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคมและสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน ในระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2567
EUR/USD “ยูโร เทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ”
การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน
เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อ EUR/USD ในสัปดาห์นี้
ข้อมูลเศรษฐกิจยุโรป
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยูโรโซน (Eurozone Consumer Confidence Index) (28 ตุลาคม) : หากดัชนีออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เงินยูโรแข็งค่า เนื่องจากการบริโภคมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของยูโรโซน แต่หากดัชนีแสดงความเชื่อมั่นลดลง เงินยูโรอาจอ่อนตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
- ดัชนีราคาผู้บริโภคเยอรมนี (German CPI) (29 ตุลาคม) : ตัวชี้วัดนี้สะท้อนระดับอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโรโซน หากอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าคาด ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจถูกกดดันให้ใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ส่งผลให้เงินยูโรแข็งค่า แต่หากอัตราเงินเฟ้อออกมาต่ำ อาจส่งผลให้เงินยูโรอ่อนตัว
- ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมยูโรโซน (Eurozone Industrial Production) (30 ตุลาคม) : ตัวเลขนี้เป็นการวัดความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจยูโรโซน หากผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น จะถือเป็นสัญญาณบวกต่อเงินยูโร แต่หากผลผลิตลดลง อาจส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนลงเนื่องจากความกังวลด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB Meeting) (31 ตุลาคม) : การประชุมครั้งนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อค่าเงินยูโร หาก ECB ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เช่น การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อหรือส่งสัญญาณถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เงินยูโรมีแนวโน้มแข็งค่า แต่หาก ECB แสดงความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจหรือส่งสัญญาณผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม เงินยูโรอาจอ่อนตัวลง
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
- คำขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) (31 ตุลาคม) : ตัวเลขนี้มีผลต่อค่าเงินดอลลาร์ หากการขอรับสวัสดิการว่างงานลดลง บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งในตลาดแรงงานสหรัฐ ซึ่งอาจสนับสนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าและส่งผลให้ EUR/USD อ่อนตัว
- ดัชนี PMI ภาคการผลิตสหรัฐ (US Manufacturing PMI) (1 พฤศจิกายน) : ตัวเลขนี้สะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิต หากออกมาสูงกว่าคาดการณ์ จะส่งเสริมค่าเงินดอลลาร์และกดดันให้ EUR/USD อ่อนตัว แต่หากต่ำกว่าคาดการณ์ เงินยูโรอาจแข็งค่าขึ้น
- ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (US Core PCE Price Index) (1 พฤศจิกายน) : ตัวชี้วัดสำคัญของเงินเฟ้อในสหรัฐ หากสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจทำให้ดอลลาร์แข็งค่าจากโอกาสที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม ส่งผลให้ EUR/USD อ่อนตัว
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
ราคากำลังมีการปรับตัวลงต่อเนื่อง แนะนำให้ Sell เพื่อรอการทดสอบแนวรับในโซน 1.07600-1.06800 อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังการดีดตัวขึ้นจากแนวรับนี้ แนะนำรอให้เกิด Breakout ลงต่ำก่อนแล้วค่อย Follow Sell เพื่อความมั่นใจ
GBP/USD “ปอนด์อังกฤษ เทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ”
การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน
เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อ GBP/USD ในสัปดาห์นี้
ข้อมูลเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร
- ดัชนีการผลิตแห่งชาติของอังกฤษ (UK Nationwide HPI) (30 ตุลาคม) : ตัวเลขนี้สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาบ้านในอังกฤษ หากราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้น จะเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจและสนับสนุนให้ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่หากดัชนีออกมาอ่อนแอ ค่าเงินปอนด์อาจอ่อนลง
- การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England Meeting) (31 ตุลาคม) : การประชุมนี้เป็นจุดสนใจสำคัญของนักลงทุน หากธนาคารกลางส่งสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อ ค่าเงินปอนด์อาจแข็งค่าขึ้น แต่หากแสดงความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ค่าเงินปอนด์อาจอ่อนลง
- ดัชนี PMI ภาคการผลิตของอังกฤษ (UK Manufacturing PMI) (1 พฤศจิกายน) : หากดัชนีภาคการผลิตออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ จะส่งสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจอังกฤษและช่วยสนับสนุนค่าเงินปอนด์ให้แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่หากดัชนีออกมาอ่อนแอ ค่าเงินปอนด์อาจอ่อนตัว
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
- คำขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) (31 ตุลาคม) : ตัวเลขนี้สะท้อนสภาพตลาดแรงงานในสหรัฐ หากผลออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ ค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้คู่เงิน GBP/USD อ่อนตัวลง
- ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐ (US Manufacturing PMI) (1 พฤศจิกายน) : หากตัวเลข PMI ของสหรัฐออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และอาจทำให้ GBP/USD อ่อนตัวลง ในทางกลับกัน หากตัวเลขออกมาอ่อนแอ ค่าเงินปอนด์อาจได้รับแรงหนุน
- ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (US Core PCE Price Index) (1 พฤศจิกายน) : เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธนาคารกลางสหรัฐใช้ในการประเมินเงินเฟ้อ หากตัวเลขเงินเฟ้อออกมาสูง ธนาคารกลางสหรัฐอาจตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและกดดัน GBP/USD
ข้อมูลเศรษฐกิจยุโรป ที่ส่งผลต่อ GBP/USD
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของยูโรโซน (Eurozone Consumer Confidence) (28 ตุลาคม) : ข้อมูลนี้มีผลทางอ้อมต่อค่าเงินปอนด์ (GBP) เนื่องจากความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งในยูโรโซนจะส่งเสริมการซื้อขายที่มั่นคงในตลาดยุโรป หากข้อมูลออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ เงินยูโรอาจแข็งค่าขึ้น และค่าเงินปอนด์อาจได้รับแรงหนุนในทางบวกจากการเพิ่มความเชื่อมั่นในภูมิภาคนี้เช่นกัน
- ดัชนีราคาผู้บริโภคของเยอรมนี (German CPI) (29 ตุลาคม) : ดัชนีนี้เป็นตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อในเยอรมนี ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ส่งผลต่อค่าเงินยูโรและอาจส่งผลกระทบต่อ GBP/USD ได้เช่นกัน หากอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าที่คาดการณ์ อาจทำให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ และกดดันให้ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย
- ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซน (Eurozone Industrial Production) (30 ตุลาคม) : แม้ว่าข้อมูลนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับสหราชอาณาจักรโดยตรง แต่การเติบโตของเศรษฐกิจยูโรโซนก็มีผลกระทบต่อการค้าของอังกฤษเช่นกัน การชะลอตัวในภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซนอาจส่งผลให้ค่าเงินปอนด์ได้รับแรงกดดันจากการค้าขายที่ลดลง
- การประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB Meeting) (31 ตุลาคม) : หาก ECB ส่งสัญญาณเข้มงวดทางการเงิน ค่าเงินยูโรอาจแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ และอาจสร้างแรงกดดันต่อ GBP/USD ทำให้ค่าเงินปอนด์อาจลดลงในระยะสั้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
ราคาค่อย ๆ ปรับตัวลงอย่างชัดเจน ควรมองหาจังหวะในการ Sell แต่ต้องระมัดระวังแนวรับที่มีอยู่หลายจุด ซึ่งอาจทำให้ราคาหยุดพักและดีดตัวขึ้นได้ โดยเป้าหมายการขายอาจตั้งไว้ที่การทดสอบระดับ 1.26600
อย่างไรก็ตาม ควรระวังการเด้งขึ้นจากแนวรับเหล่านี้ แนะนำไม่ให้ถือการขายในระยะยาวเกินไป ควรปิดทำกำไรตามความเหมาะสม และหลีกเลี่ยงการให้ราคาลาก Stop Loss มากเกินไป
XAU/USD “ทองคำ เทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ”
การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน
เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อ XAU/USD ในสัปดาห์นี้
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อทองคำ
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของยูโรโซน (Eurozone Consumer Confidence) (28 ตุลาคม) : การเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นผู้บริโภคอาจส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในยูโรโซน ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้นและลดความต้องการทองคำ (ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย) ในทางกลับกัน หากความเชื่อมั่นลดลง ราคาทองคำอาจมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น
- ดัชนีราคาผู้บริโภคของเยอรมนี (German CPI) (29 ตุลาคม) : ข้อมูลนี้ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในยูโรโซน หากอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าที่คาดการณ์ นักลงทุนอาจหันมาสนใจทองคำมากขึ้นเนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันเงินเฟ้อ แต่หากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ความสนใจในทองคำอาจลดลง
- ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซน (Eurozone Industrial Production) (30 ตุลาคม) : ตัวเลขนี้สะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาค หากผลผลิตอุตสาหกรรมแข็งแกร่ง นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น และลดความต้องการทองคำ ซึ่งอาจทำให้ราคาทองคำอ่อนตัว
- ดัชนีการผลิตแห่งชาติของอังกฤษ (UK Nationwide HPI) : หากราคาบ้านในอังกฤษปรับตัวสูงขึ้น อาจเพิ่มความมั่นใจในเศรษฐกิจและทำให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง
- การประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB Meeting) (31 ตุลาคม) : หาก ECB ส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ จะส่งผลให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น และกดดันราคาทองคำให้ลดลง เนื่องจากนักลงทุนจะหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงกว่า หาก ECB ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน ทองคำอาจได้รับแรงหนุน
- คำขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) (31 ตุลาคม) : หากตลาดแรงงานสหรัฐแข็งแกร่ง เงินดอลลาร์สหรัฐอาจแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาทองคำลดลง แต่หากตัวเลขการว่างงานสูงขึ้น ราคาทองคำอาจได้รับแรงหนุน
- ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐ (US Manufacturing PMI) (1 พฤศจิกายน) : ตัวเลขนี้สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจในภาคการผลิต หาก PMI ของสหรัฐออกมาดี นักลงทุนอาจลดความสนใจในทองคำและหันไปหาสินทรัพย์เสี่ยง แต่หาก PMI อ่อนแอ ความต้องการในทองคำอาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
- ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (US Core PCE Price Index) (1 พฤศจิกายน) : ตัวชี้วัดเงินเฟ้อนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ธนาคารกลางสหรัฐใช้ในการตัดสินใจ หากเงินเฟ้อสูงขึ้น ทองคำอาจได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนที่มองหาวิธีป้องกันเงินเฟ้อ แต่หากเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ ค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้น และส่งผลกดดันราคาทองคำให้ลดลง
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
ราคายังคงทะยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (ATH) แนะนำให้รอจังหวะเข้าซื้อในช่วงที่ราคาย่อตัวตามปกติ เนื่องจากในช่วงนี้มีโอกาสทำกำไรได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ต้องระวังว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปรับตัวลงอย่างแรงได้เช่นกัน โซนที่อาจทดสอบได้คือ 2700 ซึ่งสามารถรอเข้าซื้อออเดอร์ใหญ่ได้ เพราะปัจจุบันยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่าตลาดจะกลับเป็นขาลง
Disclaimer: บทความนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์จากโค้ชของสถาบัน RoboAcademy ไม่ได้เป็นการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด และการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน