13 Chart Patterns ยอดนิยมสำหรับการเทรด

รูปแบบ (Pattern) หมายถึงองค์ประกอบที่ปรากฏซ้ำในด้านต่างๆ ของชีวิต ทั้งธรรมชาติ จิตวิทยา ดนตรี การออกแบบ การเทรด เป็นต้น สำหรับการเทรด รูปแบบกราฟการเทรด (Trading Chart Pattern) คือรูปแบบการรวมกันของข้อมูลราคา ปริมาณ และอินดิเคเตอร์ ที่มีความมั่นคงและปรากฏซ้ำ

Chart Patterns ในการเทรด

เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการซื้อขายลงทุนและเพิ่มความมั่งคั่งมาก อย่างไรก็ตาม การซื้อขายอาจมีซับซ้อนซึ่งต้องใช้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อตลาด สิ่งสำคัญประการหนึ่งของการซื้อขายคือความสามารถในการวิเคราะห์แผนภูมิและระบุรูปแบบเทรดโดยใช้ข้อมูลที่ครบถ้วน ที่จะช่วย ระบุทิศทางของตลาด ในบทความนี้ เราจะพูดถึงรูปแบบกราฟในการเทรด และวิธีการนำไปใช้ในการตัดสินใจ

รูปแบบกราฟ (Chart Patterns) คือการแสดงภาพการเคลื่อนไหวของราคาในอดีต โดยรูปแบบเหล่านี้สามารถช่วยให้เทรดเดอร์ระบุแนวโน้ม การกลับตัว และโอกาสในการซื้อขายอื่นๆ ซึ่งรูปแบบของกราฟจะถูกสร้างขึ้นโดยการวางแผนการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปจะใช้กราฟแท่งเทียนหรือกราฟเส้น

Chart Pattern คืออะไร?

Chart Pattern เป็นรูปแบบกราฟการซื้อขายเป็นพื้นที่เฉพาะและซ้ำๆ บนกราฟราคา และบางครั้งเรียกว่ารูปแบบหรือการก่อตัวราคา

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาในตลาดการเงิน พบว่าบางครั้งกราฟจะแสดงรูปแบบการซื้อขาย (หรือรูปแบบราคา) ซึ่งใช้ในการทำนายการเคลื่อนไหวต่อไป มีรูปแบบที่บ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้มและมีรูปแบบที่แสดงถึงความต่อเนื่อง สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือรูปแบบราคาบนกราฟไม่ได้มีความแม่นยำ 100% หมายความว่าราคาจะเคลื่อนไหวตามที่รูปแบบที่คาดการณ์ไว้ แต่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการจับคู่และช่วยการซื้อขาย ซึ่งมีกราฟหลากหลายรูปแบบที่เทรดเดอร์จะใช้เพื่อสร้างโอกาสในการซื้อขายที่อาจเกิดขึ้น

Head & Shoulders และ Inverted Head & Shoulders Patterns

เป็นรูปแบบ การกลับตัวซึ่งโดยปกติจะเกิดขึ้นที่ระดับราคาต่ำสุดและสูงสุดของกราฟราคาทั้งแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง และPattern นี้แนวโน้มจะส่งผลให้เกิดการกลับตัวของทิศทางตลาด มีการปรับฐานหรือกลับแนวโน้มไปในฝั่งตรงข้าม

Head & Shoulders

Head & Shoulders เป็นกราฟที่มีลักษณะคล้ายหัวและไหล่ โดยจะปรากฏขึ้นเมื่อตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น เส้นล่างลากผ่าน 1 และ 2 (Neckline หรือส่วนคอ) รูปแบบการซื้อขายจะถือว่าเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์หลังจากราคาต่ำกว่าเส้น หลังจากนั้นคาดว่าราคาจะลดลงตามระยะทางเท่ากับความสูงของรูปแบบเป็นอย่างน้อย ซึ่งวัดเป็น pip แนะนำให้ขายทันทีเมื่อราคาทะลุเส้นกำไรหรือรอจนกว่าราคาจะกลับเข้าสู่เส้นหลังหลังจากทะลุแนวรับดังกล่าว 

Inverted Head & Shoulders

รูปแบบกราฟ Inverted Head & Shoulders ถูกสร้างขึ้นคล้ายกับ Head & Shoulders แต่เป็นรูปแบบกลับหัว เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง เส้นล่างลากผ่าน 1 และ 2 (Neckline) รูปแบบการซื้อขายจะถือว่าเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์หลังจากราคาคงที่เหนือเส้นกำไรเท่านั้น หลังจากนั้น ราคาจะมีแนวโน้มกลับตัวขึ้นตามระยะทางอย่างน้อยเท่ากับความสูงของเส้น แนะนำให้ซื้อทันทีเมื่อราคาทะลุเส้นแนวต้านหรือรอจนกว่าราคาจะกลับเข้าสู่เส้นหลังจากทะลุเส้นดังกล่าว

Double Top and Double Bottom

รูปแบบนี้คือรูปแบบการซื้อขายแบบกลับตัว ซึ่งโดยปกติจะเกิดขึ้นที่ราคาระดับต่ำสุดและสูงสุดในแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง รูปแบบบ่งชี้ว่าแนวโน้มในปัจจุบันเริ่มอ่อนลง และราคาคาดว่าจะเริ่มมีการปรับฐานหรือกลับแนวโน้มไปในฝั่งตรงข้าม

Double Top

Double Top ถูกสร้างขึ้นที่จุดสูงสุดสำหรับตลาดแนวโน้มขาขึ้น เส้นล่างแนวนอนลากผ่าน 1 รูปแบบการซื้อขายจะถือว่าเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ หลังจากราคาคงที่ต่ำกว่าเส้นล่างเท่านั้น หลังจากนั้นราคาคาดว่าจะลดลงตามระยะทางเท่ากับความสูงของรูปแบบเป็นอย่างน้อย ซึ่งวัดเป็น pip จากจุดสูงสุดของรูปแบบไปจนถึงบรรทัดล่างสุด แนะนำให้ขายทันทีเมื่อราคาทะลุเส้นแนวรับหรือรอจนกว่าราคาจะกลับเข้าสู่เส้นหลังจากทะลุเส้นดังกล่าว

Double Bottom

Double Bottom เกิดขึ้นที่ระดับต่ำสุดสำหรับตลาดแนวโน้มขาลง เส้นล่างแนวนอนถูกลากผ่าน 1 รูปแบบการซื้อขายจะถือว่าเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์หลังจากที่ราคาคงที่เหนือเส้นล่างเท่านั้น หลังจากนั้นราคาคาดว่าจะเติบโตตามระยะทางอย่างน้อยเท่ากับความสูงของตัวเลข ซึ่งวัดเป็น pip จากจุดต่ำสุดของรูปแบบไปจนถึงบรรทัดล่างสุด แนะนำให้ซื้อทันทีเมื่อราคาทะลุเส้นแนวต้านหรือรอจนกว่าราคาจะกลับเข้าสู่เส้นหลังจากทะลุเส้นดังกล่าว

Triple Top and Triple Bottom

เป็นรูปแบบกราฟการกลับตัว ซึ่งโดยปกติจะเกิดขึ้นที่ระดับราคาต่ำสุดและสูงสุด สำหรับตลาดแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง รูปแบบบ่งชี้ว่าแนวโน้มในปัจจุบันเริ่มอ่อนลง และราคาคาดว่าจะเริ่มมีการปรับฐานหรือกลับแนวโน้มไปในฝั่งตรงข้าม

Triple Top

Triple Top ถูกสร้างขึ้นที่จุดสูงสุดภายในแนวโน้มขาขึ้น เส้นล่างลากผ่าน 1 และ 2 รูปแบบการซื้อขายจะถือว่าเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์หลังจากที่ราคาคงที่ที่แนวรับตรงเส้นล่างเท่านั้น หลังจากนั้น ราคาคาดว่าจะลดลงตามระยะทางอย่างน้อยเท่ากับความสูงของรูปแบบ ซึ่งวัดเป็น pip จากจุดสูงสุดของรูปแบบไปจนถึงบรรทัดล่างสุด แนะนำให้ขายทันทีเมื่อราคาทะลุเส้นแนวรับหรือรอจนกว่าราคาจะกลับเข้าสู่เส้นหลังจากทะลุเส้นดังกล่าว

Triple Bottom

Triple Bottom เกิดขึ้นที่ระดับต่ำสุดภายในแนวโน้มตลาดขาลง เส้นล่างลากผ่าน 1 และ 2 รูปแบบการซื้อขายจะถือว่าเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์หลังจากที่ราคาคงที่เหนือเส้นแนวรับเท่านั้น หลังจากนั้น ราคาคาดว่าจะเติบโตตามระยะทางอย่างน้อยเท่ากับความสูงของรูปแบบ ซึ่งวัดเป็น pip จากจุดต่ำสุดของรูปแบบไปจนถึงบรรทัดล่างสุด ขอแนะนำให้ซื้อทันทีเมื่อราคาทะลุเส้นแนวต้านหรือรอจนกว่าราคาจะกลับเข้าสู่เส้นหลังจากทะลุเส้นดังกล่าว

Wedge

Wedge รูปแบบกราฟการซื้อขายแบบกลับตัว ซึ่งเกิดขึ้นที่จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดระหว่างเส้นสองเส้นที่มาบรรจบกัน ที่แนวรับและแนวต้านโดยกราฟนี้มีจะมีรูปทรงคล้ายสามเหลี่ยม มีความแตกต่างที่สำคัญคือมุมเอียง (ของเส้นทั้งสองที่ประกอบกัน) ไปในทิศทางเดียวกัน โดย Wedge จะถือว่าสิ้นสุดเมื่อราคาออกจากรูปแบบกราฟในทิศทางตรงข้ามกับการเอียง หาก Wedge เกิดขึ้นที่ระดับสูงสุดภายในแนวโน้มขาขึ้น แนะนำให้ขายหลังจากราคาคงที่ต่ำกว่าเส้นแนวรับ เป้าหมายของตัวเลขคือค่าฐานของรูปแบบแผนภูมิ (H) ในหน่วย pip หาก Wedge ก่อตัวขึ้นที่ระดับต่ำสุดภายในแนวโน้มขาลง ขอแนะนำให้ซื้อหลังจากที่ราคาคงที่เหนือเส้นแนวต้าน เป้าหมายของการก่อตัวคือค่าของฐานของรูปแบบแผนภูมิ (H) ในหน่วย pip

Diamond หรือกราฟเพชร

รูปแบบกราฟ Diamond หรือรูปแบบกราฟรูปเพชร คือรูปแบบถูกสร้างขึ้นในการหาจุดกลับตัวที่จุดสูงสุดและต่ำสุดของกราฟราคาภายในแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง รูปแบบการซื้อขายจะบ่งชี้ว่าแนวโน้มในปัจจุบันเริ่มอ่อนลง และราคาคาดว่าจะเริ่มปรับฐานหรือกลับแนวโน้มไปฝั่งตรงข้าม หาก Diamond ก่อตัวขึ้นที่ระดับสูงสุดภายในแนวโน้มขาขึ้น แนะนำให้ขายหลังจากราคาคงที่ต่ำกว่าเส้นแนวรับ เป้าหมายของการก่อตัวคือความสูงของรูปแบบแผนภูมิ (H) ในหน่วย pip หากเพชรก่อตัวที่ระดับต่ำสุดภายในแนวโน้มขาลง ขอแนะนำให้ซื้อหลังจากที่ราคาคงที่เหนือเส้นแนวต้าน เป้าหมายของรูปคือความสูงของรูปแบบกราฟ (H) ในหน่วย pip

Rectangle หรือกราฟรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า

Rectangle หรือกราฟรูปแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นรูปแบบการซื้อขายสากล เป็นอีกหนึ่งวิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ง่ายและเป็นที่นิยมมากที่สุดในการซื้อขาย ที่อาจคาดการณ์ทั้งแนวโน้มย้อนกลับและความต่อเนื่องของแนวโน้มที่แท้จริง ช่องด้านข้างที่เกิดจากแนวรับและแนวต้านแนวนอน ซึ่งเป็นจุดที่ราคากำลังแข็งตัว แนะนำให้ซื้อขาย ขณะที่หากราคาคงที่เหนือแนวต้าน ให้ซื้อ หากแก้ไขได้ต่ำกว่าเส้นแนวรับ ให้ขาย เป้าหมายของภาพคือความสูงของรูปแบบแผนภูมิ (H) ในหน่วย pip

Flag

Flag หรือกราฟรูปแบบธง คือรูปแบบที่ใช้ในการคาดการณ์การซื้อขายถึงความต่อเนื่องของแนวโน้มราคาที่แท้จริง (มีลักษณะเหมือนธง) หลังจากการเคลื่อนไหวของราคาที่แข็งแกร่ง (เสาธง) ราคากำลังสร้างพื้นที่ (ผ้า) เป็นแนวนอนหรือลาดไปทางเสาธง ผ้าอาจอยู่ในรูป Rectangle, Triangle หรือ Wedge หลังจากที่ราคาสิ้นสุดการปรับฐานและแก้ไขเหนือแนวต้านของผ้าแล้ว แนะนำให้ซื้อ โดยเป้าหมายของรูปแบบแผนภูมิคือความสูงของเสาธง

Triangle

กราฟรูปแบบแผนภูมิสามเหลี่ยม ประกอบด้วย 3 ประเภทหลัก ดังนี้:

Symmetrical Triangle หรือกราฟรูปแบบสามเหลี่ยมแบบสมมาตร

Symmetrical Triangle หรือกราฟรูปแบบสามเหลี่ยมแบบสมมาตร เป็นรูปแบบการซื้อขายสากลที่อาจคาดการณ์ทั้งแนวโน้มย้อนกลับและความต่อเนื่องของแนวโน้มราคาที่แท้จริง ถูกสร้างขึ้นระหว่างเส้นมาบรรจบกันสองเส้น แนวรับ และแนวต้าน หากราคาคงที่เหนือแนวต้าน ให้ซื้อ หากแก้ไขได้ต่ำกว่าเส้นแนวรับ ให้ขาย เป้าหมายของรูปคือค่าฐานของรูปแบบ (H) ในหน่วย pip

Ascending Triangle หรือสามเหลี่ยมมุมเงย

Ascending Triangle หรือสามเหลี่ยมมุมเงย คือรูปแบบการซื้อขายแบบสามเหลี่ยมที่มักจะเกิดขึ้นในตลาดขาขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างเส้นแนวต้านแนวนอนและเส้นแนวรับจากน้อยไปมาก หลังจากที่ราคาคงที่เหนือแนวต้าน แนะนำให้ซื้อ เป้าหมายของตัวเลขคือค่าฐานของรูปแบบแผนภูมิ (H) ในหน่วย pip

Descending Triangle หรือสามเหลี่ยมมุมก้ม

Descending Triangle หรือสามเหลี่ยมมุมก้ม คือรูปแบบการซื้อขายแบบสามเหลี่ยมที่มีเส้นเกิดขึ้นระหว่างเส้นแนวรับแนวนอนและเส้นแนวต้านจากมากไปน้อย มักถูกพบในตลาดขาลง หลังจากราคาคงที่ต่ำกว่าเส้นแนวรับ แนะนำให้ขาย เป้าหมายของการก่อตัวคือค่าของฐานของรูปแบบแผนภูมิ (H) ในหน่วย pip

Bullish and Bearish

Bullish and Bearish เป็นรูปแบบกราฟขาขึ้นและขาลงโดยแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลักที่เทรดเดอร์ใช้ในการวิเคราะห์ตลาดการเงินและทำการตัดสินใจซื้อขาย รูปแบบเหล่านี้ขึ้นอยู่กับแนวคิดที่ว่าการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตสามารถบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้

Bullish

Bullish หรือกราฟกระทิง คือรูปแบบที่บ่งชี้ว่าราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปรูปแบบเหล่านี้จะเกิดขึ้นในช่วงขาขึ้นหรือหลังจากสิ้นสุดแนวโน้มขาลง รูปแบบกราฟกระทิงทั่วไป ได้แก่

  1. Cup and Handle: รูปแบบต่อเนื่องที่มีลักษณะเป็นรูปตัว “U” หรือถ้วยที่มีหูจับ โดยส่วนของหูจับจะมีการปรับฐานลงเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆปรับตัวขึ้น รูปแบบนี้บ่งชี้ว่าราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นขาขึ้นต่อไป
  2. Ascending Triangle หรือสามเหลี่ยมมุมเงย: รูปแบบต่อเนื่องแบบกระทิงที่มีลักษณะเป็นด้านบนแบนและด้านล่างที่ลาดเอียงขึ้น รูปแบบนี้บ่งชี้ว่าราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นขาขึ้นต่อไป
  3. Bullish Flag: รูปแบบต่อเนื่องแบบกระทิงที่โดดเด่นด้วยการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็วตามมาด้วยช่วงเวลาสั้นๆ โดยรูปแบบนี้บ่งชี้ว่าราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะยังคงเป็นขาขึ้นต่อไป

Bearish

Bearish หรือกราฟหมี เป็นกราฟรูปแบบที่บ่งชี้ว่าราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะลดลง โดยทั่วไปรูปแบบเหล่านี้จะเกิดขึ้นในช่วงขาลงหรือหลังจากสิ้นสุดแนวโน้มขาขึ้น รูปแบบกราฟที่พบบ่อย ได้แก่

  1. Double Top: รูปแบบการกลับตัวเป็นขาลงที่เกิดขึ้นเมื่อราคาของสินทรัพย์ถึงจุดสูงสุด ลดลง แล้วขึ้นอีกครั้งไปยังจุดสูงสุดเดิม แล้วลดลงอีกครั้ง รูปแบบนี้บ่งชี้ว่าราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นและเริ่มมีแนวโน้มขาลง
  2. Descending Triangle หรือสามเหลี่ยมมุมก้ม: รูปแบบต่อเนื่องที่มีลักษณะเป็นก้นแบนและด้านบนที่ลาดลง รูปแบบนี้บ่งชี้ว่าราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปในแนวโน้มขาลง
  3. หัวและไหล่ (Head and Shoulders): รูปแบบการกลับตัวที่ประกอบด้วยจุดสูงสุดสามจุด โดยจุดสูงสุดตรงกลาง (หัว) คือจุดสูงสุด รูปแบบนี้บ่งชี้ว่าราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะกลับตัวจากแนวโน้มขาขึ้นและเริ่มมีแนวโน้มขาลง

สรุป

โดยสรุป รูปแบบกราฟเป็นเครื่องมือสำคัญที่เทรดเดอร์ใช้ในการระบุโอกาสในการซื้อขายที่อาจเกิดขึ้น ด้วยการทำความเข้าใจรูปแบบเหล่านี้ เทรดเดอร์จึงสามารถตัดสินใจได้ว่า เมื่อใดควรเข้าและออกจากตลาด อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือรูปแบบกราฟไม่สามารถป้องกันความผิดพลาดจากการเทรดได้ และควรใช้ร่วมกับตัวบ่งชี้และเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ เช่นเดียวกับการซื้อขายทุกประเภท การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ และเทรดเดอร์ควรจุด Stop Loss และเทคนิคการจัดการความเสี่ยงอื่น ๆ เพื่อป้องกันความสูญเสียจากการลงทุน

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น