วิเคราะห์กราฟแบบแม่นเป๊ะ กับโค้ชมาร์ค RoboAcademy วันที่ 2 - 6 ธันวาคม 2567

สวัสดีครับทุกท่าน มาพบกับบทวิเคราะห์คู่สกุลเงิน EUR/USD GBP/USD และ XAU/USD ประจำสัปดาห์แรกของเดือนธันวาคม ในระหว่างวันที่ 2 - 6 ธันวาคม 2567

EUR/USD “ยูโร เทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ”

การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน

เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อ EUR/USD ในสัปดาห์นี้

ข้อมูลเศรษฐกิจยุโรป

  • ดัชนี PMI ภาคการผลิตของยูโรโซน (Eurozone Final Manufacturing PMI) (2 ธันวาคม) : ตัวเลขนี้แสดงถึงระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตของยูโรโซน หากค่าดัชนีออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจส่งผลเชิงบวกต่อค่าเงินยูโร แต่หากต่ำกว่าคาดการณ์ อาจสร้างแรงกดดันให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง
  • ดัชนีราคาผู้ผลิตของยูโรโซน (Eurozone PPI) (3 ธันวาคม) : ดัชนีนี้ใช้วัดภาวะเงินเฟ้อในภาคการผลิตของยูโรโซน หากค่าดัชนีออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ อาจช่วยหนุนค่าเงินยูโรให้แข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตาม หากต่ำกว่าคาดการณ์ อาจทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง
  • ดัชนี PMI ภาคบริการของยูโรโซน (Eurozone Final Services PMI) (4 ธันวาคม) : ดัชนีนี้สะท้อนถึงระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคบริการ ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจยูโรโซน หากตัวเลขออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ อาจส่งผลให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นได้

ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

  • ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐ (U.S. ISM Manufacturing PMI) (2 ธันวาคม) : ตัวเลขนี้สะท้อนถึงกิจกรรมในภาคการผลิตของสหรัฐ หากดัชนีออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมกดดันค่าเงินยูโรให้ปรับตัวลดลง
  • คำสั่งซื้อโรงงานของสหรัฐ (U.S. Factory Orders) (3 ธันวาคม) : ดัชนีนี้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของคำสั่งซื้อสินค้าโรงงานในสหรัฐ หากตัวเลขเพิ่มขึ้นกว่าคาดการณ์ อาจช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ให้แข็งค่า และสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินยูโร
  • ดัชนี PMI ภาคบริการของสหรัฐ (U.S. ISM Services PMI) (4 ธันวาคม) : ตัวเลขนี้มีผลโดยตรงต่อค่าเงินดอลลาร์ หากค่าดัชนีออกมาสูงกว่าคาด อาจส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่า และกดดันค่าเงินยูโรให้ลดลง
  • คำขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ (U.S. Initial Jobless Claims) (5 ธันวาคม) : ดัชนีนี้เป็นตัวชี้วัดสภาพตลาดแรงงานในสหรัฐ หากตัวเลขคำขอรับสวัสดิการว่างงานออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ ดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้น และส่งผลกดดันต่อค่าเงินยูโร
  • ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ (Non-Farm Payrolls) (6 ธันวาคม) : รายงานนี้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของสัปดาห์ หากตัวเลขการจ้างงานสูงกว่าที่คาดการณ์ ดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้น และกดดันค่าเงินยูโร อย่างไรก็ตาม หากตัวเลขต่ำกว่าคาด ยูโรอาจมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
  • อัตราการว่างงานของสหรัฐ (Unemployment Rate) (6 ธันวาคม) : ตัวเลขนี้สะท้อนถึงภาวะการจ้างงานในสหรัฐ หากอัตราการว่างงานลดลงต่ำกว่าที่คาดการณ์ ดอลลาร์อาจได้รับแรงหนุน และส่งผลกดดันค่าเงินยูโร ในทางกลับกัน หากอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ยูโรอาจได้รับแรงสนับสนุนแทน

การวิเคราะห์ทางเทคนิค

ราคาปัจจุบันได้เข้าทดสอบแนวต้านสำคัญบริเวณประมาณ 1.06000 หากไม่สามารถทะลุขึ้นไปได้ มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลงต่อ ควรมองหาจังหวะ Sell ในบริเวณโซนแนวต้านดังกล่าว เพื่อเก็งกำไรจากการปรับตัวลงของราคา เนื่องจากแนวโน้มโดยรวมยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้การเปลี่ยนแปลงไปเป็นขาขึ้นในขณะนี้

ทั้งนี้ควรติดตาม Price Action อย่างใกล้ชิดในโซนแนวต้าน และกำหนด Stop Loss อย่างเหมาะสมเพื่อบริหารความเสี่ยงในกรณีที่ราคาฝ่าแนวต้านขึ้นไป

GBP/USD “ปอนด์อังกฤษ เทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ”

การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน

เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อ GBP/USD ในสัปดาห์นี้

ข้อมูลเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร

  • ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหราชอาณาจักร (U.K. Final Manufacturing PMI) (2 ธันวาคม) : ตัวเลขนี้แสดงถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตของสหราชอาณาจักร หากค่าดัชนีออกมาสูงกว่าคาดการณ์ อาจส่งผลเชิงบวกต่อค่าเงินปอนด์ แต่หากต่ำกว่าคาดการณ์ อาจกดดันให้ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลง
  • ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยของสหราชอาณาจักรจาก Nationwide (U.K. Nationwide HPI) (3 ธันวาคม) : หากตัวเลขแสดงการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัย อาจสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในประเทศ และสนับสนุนให้ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น
  • ดัชนี PMI ภาคบริการของสหราชอาณาจักร (U.K. Final Services PMI) (4 ธันวาคม) : เนื่องจากภาคบริการถือเป็นสัดส่วนหลักในเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร หากค่าดัชนีออกมาดีกว่าคาดการณ์ อาจช่วยส่งเสริมค่าเงินปอนด์ให้แข็งค่าขึ้น

ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

  • ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐ (U.S. ISM Manufacturing PMI) (2 ธันวาคม) : ตัวเลขนี้แสดงถึงกิจกรรมในภาคการผลิตของสหรัฐ หากออกมาสูงกว่าคาดการณ์ อาจส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกดดันค่าเงินปอนด์
  • คำสั่งซื้อโรงงานของสหรัฐ (U.S. Factory Orders) (3 ธันวาคม) : หากตัวเลขคำสั่งซื้อโรงงานเพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจหนุนค่าเงินดอลลาร์ให้แข็งค่า และสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินปอนด์
  • ดัชนี PMI ภาคบริการของสหรัฐ (U.S. ISM Services PMI) (4 ธันวาคม) : ภาคบริการเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐ หากตัวเลขออกมาสูงกว่าคาด ดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้น และส่งผลเชิงลบต่อค่าเงินปอนด์
  • คำขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ (U.S. Initial Jobless Claims) (5 ธันวาคม) : ตัวเลขนี้สะท้อนถึงสุขภาพของตลาดแรงงานในสหรัฐ หากคำขอรับสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาดการณ์ ดอลลาร์อาจแข็งค่า และกดดันค่าเงินปอนด์
  • ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ (Non-Farm Payrolls) (6 ธันวาคม) : รายงานสำคัญนี้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานของสหรัฐ หากตัวเลขการจ้างงานสูงกว่าคาดการณ์ ดอลลาร์อาจได้รับแรงหนุนให้แข็งค่าขึ้น และกดดันค่าเงินปอนด์ อย่างไรก็ตาม หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาด ค่าเงินปอนด์อาจได้รับแรงสนับสนุน
  • อัตราการว่างงานของสหรัฐ (Unemployment Rate) (6 ธันวาคม) : หากอัตราการว่างงานลดลงต่ำกว่าคาดการณ์ ดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้น และส่งผลกดดันต่อค่าเงินปอนด์ ในทางกลับกัน หากตัวเลขสูงขึ้น อาจเป็นผลบวกต่อค่าเงินปอนด์

การวิเคราะห์ทางเทคนิค

ราคามีการยืนยันการปิดเหนือแนวต้านแรกที่ระดับ 1.27200 ซึ่งคาดว่าอาจมีโอกาสขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 1.28200 ได้

อย่างไรก็ตาม ควรติดตามข่าวสำคัญในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะรายงาน NFP ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของราคา แนะนำให้พิจารณาหาจังหวะเปิดคำสั่ง Sell หากราคายังไม่สามารถยืนเหนือระดับ 1.28000 ได้

XAU/USD “ทองคำ เทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ”

การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน

เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อ XAU/USD ในสัปดาห์นี้

ข้อมูลเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อทองคำ

  • ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐ (U.S. ISM Manufacturing PMI) (2 ธันวาคม) : ตัวชี้วัดกิจกรรมเศรษฐกิจในภาคการผลิตของสหรัฐ หากตัวเลขออกมาสูงกว่าคาดการณ์ ดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นและกดดันราคาทองคำ แต่หากตัวเลขต่ำกว่าคาด ราคาทองคำอาจปรับตัวสูงขึ้น
  • ดัชนีราคาผู้ผลิตของยูโรโซน (Eurozone PPI) (3 ธันวาคม) : หากตัวเลขเงินเฟ้อในยูโรโซนเพิ่มขึ้น อาจเพิ่มความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อ โดยตัวเลขที่สูงกว่าคาดอาจเป็นแรงหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น
  • คำสั่งซื้อโรงงานของสหรัฐ (U.S. Factory Orders) (3 ธันวาคม) : ตัวเลขคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอาจสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งจะกดดันราคาทองคำ แต่หากตัวเลขต่ำกว่าคาด ราคาทองคำอาจได้รับแรงหนุน
  • ดัชนี PMI ภาคบริการของสหรัฐ (U.S. ISM Services PMI) (4 ธันวาคม) : ตัวเลขที่สูงกว่าคาดอาจส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าและกดดันราคาทองคำ ในทางกลับกัน หากตัวเลขต่ำกว่าคาด ราคาทองคำอาจปรับตัวเพิ่มขึ้น
  • คำกล่าวของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Statements from Fed Officials) (4 ธันวาคม) : หากเจ้าหน้าที่ Fed ส่งสัญญาณนโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Hawkish) ดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นและกดดันราคาทองคำ แต่หากส่งสัญญาณผ่อนคลาย (Dovish) ราคาทองคำอาจมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น
  • คำขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ (U.S. Initial Jobless Claims) (5 ธันวาคม) : ตัวเลขที่ดีกว่าคาดสะท้อนความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน อาจหนุนค่าเงินดอลลาร์และกดดันราคาทองคำ ในขณะที่ตัวเลขที่แย่กว่าคาดอาจเป็นแรงหนุนให้ทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น
  • ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ (Non-Farm Payrolls) (6 ธันวาคม) : ตัวเลขที่สูงกว่าคาดอาจหนุนค่าเงินดอลลาร์และกดดันราคาทองคำ แต่หากต่ำกว่าคาด ราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้น
  • อัตราการว่างงานของสหรัฐ (Unemployment Rate) (6 ธันวาคม) : หากอัตราการว่างงานลดลงกว่าคาด ดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นและกดดันราคาทองคำ แต่หากตัวเลขสูงขึ้น ราคาทองคำอาจได้รับแรงหนุน

การวิเคราะห์ทางเทคนิค

ราคาทองคำพยายามปรับตัวขึ้นแต่ติดแนวต้านที่ 2665 อาจมองหาจังหวะ Sell เพื่อลองทดสอบแนวรับที่ 2605-2600 หากราคาทะลุลงไปได้ อาจทดสอบแนวรับถัดไปที่ 2540

อย่างไรก็ตาม ควรระวังในวันศุกร์จากการประกาศ NFP ที่อาจทำให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวรุนแรง

แนะนำให้เทรดระยะสั้นและปิดคำสั่งภายในวัน (Day Trade) เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากความผันผวน ไม่แนะนำให้ถือคำสั่งระยะยาวในช่วงนี้ เนื่องจากราคามีความเสี่ยงที่จะเปลี่ยนทิศทางได้ทั้งขึ้นและลง

Disclaimer: บทความนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์จากโค้ชของสถาบัน RoboAcademy ไม่ได้เป็นการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด และการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

ข่าวอื่นๆ

แสดงความคิดเห็น