สวัสดีครับทุกท่าน มาพบกับบทวิเคราะห์คู่สกุลเงิน EUR/USD GBP/USD และ XAU/USD ประจำสัปดาห์ที่สามของเดือนพฤศจิกายน ในระหว่างวันที่ 11 - 15 พฤศจิกายน 2567
EUR/USD “ยูโร เทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ”
การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน
เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อ EUR/USD ในสัปดาห์นี้
ข้อมูลเศรษฐกิจยุโรป
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของสหภาพยุโรป (EU Manufacturing PMI) (11 พฤศจิกายน) : ดัชนีนี้สะท้อนถึงสภาวะเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมของยุโรป หากตัวเลข PMI ออกมาสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจส่งผลให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น แต่หากตัวเลขต่ำกว่าคาด อาจทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
- อัตราการจ้างงานของสหภาพยุโรป (EU Employment Rate) (12 พฤศจิกายน) : หากอัตราการจ้างงานออกมาสูงกว่าที่คาด จะสะท้อนถึงตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งอาจส่งผลบวกต่อค่าเงินยูโร อย่างไรก็ตาม หากอัตราการจ้างงานต่ำกว่าคาด อาจกดดันให้ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลง
- ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหภาพยุโรป (EU Industrial Production) (14 พฤศจิกายน) : ตัวเลขนี้เป็นการวัดความแข็งแกร่งของภาคอุตสาหกรรมในยุโรป หากผลผลิตภาคอุตสาหกรรมออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจเป็นปัจจัยบวกต่อค่าเงินยูโร แต่หากผลผลิตลดลงต่ำกว่าคาด อาจส่งผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
- ดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐ (US Producer Price Index) (12 พฤศจิกายน) : ดัชนี PPI เป็นตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อในระดับต้นทุนการผลิต หากตัวเลขออกมาสูงกว่าที่คาดไว้ ค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะส่งผลกดดันต่อค่าเงินยูโร
- ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐ (US Consumer Price Index) (13 พฤศจิกายน) : ตัวเลข CPI ใช้เป็นตัววัดภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ หากอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าที่คาดการณ์ จะเพิ่มความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและกดดันค่าเงินยูโร
- จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) (14 พฤศจิกายน) : หากจำนวนคำขอรับสวัสดิการสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จะสะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานที่อ่อนแอของสหรัฐ อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และสนับสนุนค่าเงินยูโร
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (US University of Michigan Consumer Sentiment Index) (15 พฤศจิกายน) : หากความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐออกมาสูงกว่าคาดการณ์ ค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นและกดดันค่าเงินยูโร แต่หากตัวเลขต่ำกว่าคาด อาจส่งผลให้ค่าเงินยูโรได้รับแรงหนุน
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
ราคายังคงยืนเหนือแนวรับที่ 1.06700 ได้ โดยยังไม่สามารถปิดต่ำกว่าแนวรับนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าราคาอาจมีโอกาสดีดตัวขึ้นจากจุดนี้ได้ จึงจำเป็นต้องระมัดระวังในการเทรด เนื่องจากอาจมีการปรับตัวขึ้นจากแนวรับดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังคงมองว่าราคามีโอกาสปรับตัวลงต่อ เนื่องจากการเลือกตั้งสิ้นสุดลงแล้วและโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ส่งผลให้ค่าเงิน USD แข็งค่าขึ้นอย่างมาก แนะนำให้รอจังหวะในการเปิดสถานะ Sell จะมีความปลอดภัยมากกว่า
GBP/USD “ปอนด์อังกฤษ เทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ”
การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน
เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อ GBP/USD ในสัปดาห์นี้
ข้อมูลเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของสหราชอาณาจักร (UK Manufacturing PMI) (11 พฤศจิกายน) : ดัชนี PMI เป็นตัวชี้วัดภาวะเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักร หากตัวเลข PMI ออกมาสูงกว่าคาดอาจส่งผลให้ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่หากตัวเลข PMI ต่ำกว่าคาด อาจกดดันค่าเงินปอนด์ให้ลดลง
- รายงานตลาดแรงงานของสหราชอาณาจักร (UK Labor Market Report) (12 พฤศจิกายน) : รายงานนี้รวมข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการว่างงานและจำนวนการจ้างงานใหม่ หากตัวเลขการจ้างงานออกมาสูงและอัตราการว่างงานต่ำกว่าคาด จะเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินปอนด์ แต่หากตลาดแรงงานอ่อนแอกว่าคาด อาจทำให้ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลง
- ดัชนีราคาผู้ผลิตของสหราชอาณาจักร (UK Producer Price Index) (14 พฤศจิกายน) : ดัชนี PPI เป็นตัวสะท้อนอัตราเงินเฟ้อในระดับต้นทุนการผลิต หากตัวเลข PPI สูงกว่าคาด อาจส่งผลบวกต่อค่าเงินปอนด์ เนื่องจากคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจคงอัตราดอกเบี้ยสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
- ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐ (US Consumer Price Index) (13 พฤศจิกายน) : ตัวเลข CPI เป็นตัวชี้วัดภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ หากอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าคาด นักลงทุนอาจคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและอาจกดดันค่าเงินปอนด์
- จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) (14 พฤศจิกายน) : หากจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการสูงกว่าคาด อาจสะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานที่อ่อนแอในสหรัฐ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งอาจหนุนค่าเงินปอนด์ให้แข็งค่าขึ้น
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (US University of Michigan Consumer Sentiment Index) (15 พฤศจิกายน) : หากความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐสูงกว่าคาด ค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นและกดดันค่าเงินปอนด์ ในทางกลับกัน หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาด อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและหนุนค่าเงินปอนด์ให้แข็งค่าขึ้น
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
ราคายังคงเคลื่อนที่ตามแผนที่วิเคราะห์ไว้ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยยังคงมีการเคลื่อนไหวลงต่ออย่างสม่ำเสมอ โดยราคา 1.28700 ยังคงเป็นแนวรับที่แข็งแรง แต่คาดการณ์ว่าราคาจะยังคงปรับตัวลงต่อไปเนื่องจากการแข็งค่าของ USD หลังผลการเลือกตั้งออกมา
แนะนำให้ Sell ตามแนวต้านในกรอบเวลาเล็ก ๆ ซึ่งจะมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า หากราคาทะลุลงได้ อาจทดสอบแนวรับที่ระดับ 1.26500 เป็นเป้าหมายถัดไป
XAU/USD “ทองคำ เทียบกับ ดอลลาร์สหรัฐ”
การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน
เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่มีผลกระทบต่อ XAU/USD ในสัปดาห์นี้
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อทองคำ
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร (EU & UK Manufacturing PMI) (11 พฤศจิกายน) : หากตัวเลข PMI ภาคการผลิตออกมาดี อาจเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะลดความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ แต่หาก PMI ออกมาต่ำกว่าคาด การลงทุนในทองคำอาจเพิ่มขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
- ดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐ (US Producer Price Index) (12 พฤศจิกายน) : ตัวเลข PPI บ่งบอกถึงอัตราเงินเฟ้อในระดับการผลิต หากตัวเลข PPI สูงกว่าคาด อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) พิจารณาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะกดดันราคาทองคำให้ลดลง เนื่องจากต้นทุนการถือครองทองคำจะสูงขึ้น
- ความเคลื่อนไหวของดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (US Dollar Index) (12 พฤศจิกายน) : หากดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ราคาทองคำที่ซื้อขายในรูปดอลลาร์อาจได้รับแรงกดดันให้ลดลง แต่หากดอลลาร์อ่อนค่าลง ราคาทองคำอาจได้รับแรงหนุนให้สูงขึ้น
- ดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐ (US Consumer Price Index) (13 พฤศจิกายน) : ตัวเลข CPI เป็นตัวชี้วัดสำคัญของอัตราเงินเฟ้อ หากเงินเฟ้อสูงขึ้น จะเพิ่มโอกาสที่ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจกดดันราคาทองคำ แต่หาก CPI ต่ำกว่าคาด อาจทำให้ราคาทองคำสูงขึ้นเนื่องจากดอลลาร์อ่อนค่าลง
- จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) (14 พฤศจิกายน) : หากจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการสูงกว่าคาด อาจสะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานที่อ่อนแอ ซึ่งอาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและหนุนราคาทองคำ
- ดัชนีการผลิตของสหรัฐ (US Manufacturing Index) (14 พฤศจิกายน) : หากดัชนีการผลิตอ่อนแอกว่าคาด อาจเพิ่มความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ และกดดันให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (US University of Michigan Consumer Sentiment Index) (15 พฤศจิกายน) : หากความเชื่อมั่นผู้บริโภคสูงกว่าคาด จะเป็นสัญญาณบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐและหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่า ซึ่งอาจกดดันราคาทองคำ แต่หากความเชื่อมั่นต่ำกว่าคาด อาจทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและราคาทองคำได้รับแรงหนุน
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
ราคาทองคำได้มีการปรับตัวลงอย่างรุนแรงหลังจากผลการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้นักเทรดคลายความกังวลและมีการขายทำกำไร ส่งผลให้ราคามีการย่อปรับตัวลง
อย่างไรก็ตาม ราคายังไม่ได้แสดงสัญญาณการเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลงอย่างชัดเจน จึงแนะนำให้รอ Price Action ที่ชัดเจนก่อนตัดสินใจเทรด เพราะราคามีโอกาสทั้งขึ้นต่อหรืออาจทุบลงได้ การระมัดระวังในการตัดสินใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในช่วงนี้
Disclaimer: บทความนี้เป็นเพียงการวิเคราะห์จากโค้ชของสถาบัน RoboAcademy ไม่ได้เป็นการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด และการลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน